ชาวเอเชี่ยนอเมริกันเรียนเก่ง แต่ทำไมไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างที่คิด?

DSC_0970

หลายคนคงจะได้ยินเกี่ยวกับคดีความที่ชาวเอเชี่ยนอเมริกันรวมตัวกันฟ้องมหาวิทยาลัยดังอย่าง Harvard และอื่นๆ เรื่องการ “discriminate” ชาวเอเชียนอเมริกันในการเข้าเรียน

นักเรียนกลุ่มนี้อ้างว่า เอเชี่ยนอเมริกันต้องใช้คะแนนสอบและคุณสมบัติอื่น ๆ มากกว่านักเรียนกลุ่มอื่นๆ ในการเข้ามหาวิทยาลัยระดับ Ivy League

จากสถิติของ The Economist ตอนนี้ ชาวเอเชี่ยนอเมริกันคิดเป็นสัดส่วน 5.6% ของชาวอเมริกันทั้งหมด แต่เข้าไปอยู่มหาลัยท้อปๆ เฉลี่ย 20-30% ของนักศึกษาทั้งหมดเลยทีเดียว ถ้าดูแค่ Caltech ซึ่งเป็นมหาลัยอันดับ 1 ของโลกจากการจัดอันดับโดย Times Higher Education ในปี 2015 ก็พบว่า ตอนนี้มีนักเรียนชาวเอเชี่ยนอเมริกันนั้นปาเข้าไปเกิน 40% แล้ว! (เพิ่มขึ้นจากประมาณ 20% เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว)

เหตุผลที่เรียนดีนั้น หลายงานวิจัยบอกว่า ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา แต่เป็นเรื่องของค่านิยมแบบเอเชียที่เข้มงวด ทำให้เด็กขยันและทำสอบได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ (The Economist เล่นมุก A- ของชาวเอเชี่ยนอเมริกัน ก็คือ F ดี ๆ นี่เอง)

แต่เมื่อเด็กเอเชี่ยนอเมริกันคะแนนสูงกันหมด กลุ่มที่ฟ้องร้องก็อ้างว่า พวกเขาถูก “discriminate” โดยมักต้องใช้คะแนน SAT มากกว่าคนทั่วไป หรือมีกิจกรรมเสริมมากกว่าคนทั่วไป ถึงจะเข้ามหาลัยท้อปๆ ได้ ซึ่งก็จะกลายเป็น vicious cycle ว่า พวกเขาก็ต้องยิ่งขยันกันเข้าไปอีก ยิ่งแข่งกันเองมากขึ้นไปอีก

ทางมหาลัย Harvard เอง ก็ออกมาบอกว่า ไม่ได้ discriminate แต่ก็ยอมรับว่า diversity ในชั้นเรียนจะทำให้นักเรียนเรียนได้ดีกว่า!

เรื่อง discriminate หรือไม่นั้นจะลงเอยอย่างไรยังไม่รู้ แต่ที่รู้คือ เมื่อเรียนจบมา พวกเขากลับไม่ได้รุ่งอย่างที่คิด

กลุ่มเอเชียนอเมริกันทำงานระดับ Professional คิดเป็น 27% ของคนทำงานระดับนี้ทั้งหมด ซึ่งถือว่ามากกว่าสถิติประชากรกลุ่มนี้ถึง 5 เท่า อย่างไรก็ดี พอเป็น Manager ก็ลดเหลือ 19% และ Executive ก็เหลือเพียง 14% เท่านั้น

The Economist อธิบายว่า เป็นเพราะ..

1) ความไม่กล้าแสดงออก ด้วยวัฒนธรรมชาวเอเชีย ที่ถูกสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่เถียงและไม่แสดงความคิดเห็นโดยไม่จำเป็น

2) ขาด network ที่ดี เพราะการทำงานเชิงบริหารนั้นต้องใช้ networking ที่ดี แต่ชาวเอเชี่ยนอเมริกันที่อยู่ระดับบริหาร ไม่ว่าจะในภาคธุรกิจ หรือรัฐบาล ตุลาการ นิติบัญญัติ นั้นน้อยมาก ถ้าบริษัทจะแต่งตั้งใครมาทำงานบริหาร ก็อาจจะนำจุดนี้มาคิดไม่มากก็น้อย

ประเด็นที่ 2 นั้นน่าสนใจ ภาคธุรกิจอาจจะไม่ suffer เท่าสัดส่วนผู้มีอำนาจในภาครัฐที่เป็นชาวเอเชี่ยน ไม่ว่าจะเกิดจากการที่ชาวเอเชี่ยนนิยมวิชาสายวิทย์ ๆ มากกว่าสายรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ (ซึ่งก็อาจจะไม่จริงเสมอไป เพราะ lawyer ระดับล่างก็มีชาวเอเชี่ยนอเมริกันเยอะเหมือนกัน แต่ก็ลดลงอย่างน่าใจหายเมื่อดูที่ระดับ partner ของ law firm)

แต่ทุกอย่างย่อมมีจุดเริ่มต้น อนาคตอันใกล้ กลุ่มเอเชี่ยนอเมริกันนี้น่าจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปทำให้วัฒนธรรมและค่านิยม รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง…

หมายเหตุ : ภาพประกอบ ไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นภาพที่อังกฤษ แต่ก็แสดงให้เห็นว่า สถานการณ์ที่อังกฤษก็ไม่ต่างนัก ชาวเอเชี่ยนทำได้ค่อนข้างดีในระดับมหาวิทยาลัย


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *